ฉนวนทำงานอย่างไร?
ฉนวนควรติดตั้งที่ไหนบ้าง
แอร์ในบ้านที่มีฉนวนจะทำงานน้อยลง เพราะอุณหภูมิภายในคงที่มากขึ้น ทำให้คอมเพรสเซอร์ไม่ต้องทำงานหนัก ช่วยยืดอายุการใช้งานและลดค่าซ่อมบำรุง เปรียบเหมือนการขับรถบนถนนราบแทนการไต่เขาที่ชันตลอดเวลา
ฉนวนไม่เพียงป้องกันความร้อน แต่ยังช่วยลดเสียงรบกวนได้ด้วย โดยเฉพาะฉนวนใยแก้วและเซลลูโลสที่มีคุณสมบัติดูดซับเสียงได้ดี ครอบครัวที่อาศัยใกล้ถนนใหญ่หรือสนามบินจะรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน
ฉนวนแต่ละประเภทมีค่า "R-Value" แตกต่างกัน ซึ่งเป็นตัวบอกความสามารถในการต้านความร้อน ยิ่งค่า R-Value สูง ยิ่งกันความร้อนได้ดี สำหรับบ้านในเมืองไทย ควรเลือกฉนวนที่มีค่า R-Value อย่างน้อย 3-5
ตัวอย่างฉนวนที่นิยมในไทย
การลงทุนติดตั้งฉนวนกันความร้อนอาจมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูง แต่ผลตอบแทนที่ได้ทั้งในแง่ความสบายและการประหยัดพลังงานคุ้มค่าในระยะยาว เปรียบเสมือนการซื้อร่มคันใหญ่เพื่อบังแดดให้ทั้งบ้าน แทนที่จะเปิดพัดลมและแอร์แรงๆ เพื่อสู้กับความร้อนที่ทะลุทะลวงเข้ามา
หลังคาและฝ้าเพดาน - เป็นจุดสำคัญที่สุด เพราะความร้อนจากแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่ (ประมาณ 70%) เข้ามาทางหลังคา การติดตั้งฉนวนที่ฝ้าเพดานจึงให้ผลคุ้มค่าที่สุด
ผนังภายนอก - โดยเฉพาะผนังทิศตะวันตกและทิศใต้ที่รับแสงแดดโดยตรง การติดตั้งฉนวนที่ผนังช่วยลดความร้อนได้อีก 20-25%
หน้าต่างและประตู - แม้จะมีพื้นที่น้อย แต่หน้าต่างและประตูมักมีรอยรั่วที่ทำให้อากาศร้อนเข้าบ้านได้ การใช้วัสดุซีลรอยต่อหรือฟิล์มกรองแสงช่วยได้มาก
พื้นและใต้ถุนบ้าน - สำหรับบ้านยกพื้นหรือบ้านที่มีชั้นใต้ดิน การติดตั้งฉนวนใต้พื้นช่วยป้องกันความชื้นและรักษาอุณหภูมิภายในให้คงที่
ฉนวนใยแก้ว - ราคาประหยัด ติดตั้งง่าย เหมาะกับฝ้าเพดาน
ฉนวนโฟม - มีน้ำหนักเบา กันความร้อนดี ทนความชื้น เหมาะกับผนัง
แผ่นสะท้อนความร้อน - ติดตั้งง่าย เหมาะกับใต้หลังคา
ฉนวนกันความร้อนทำหน้าที่เหมือน "เกราะป้องกัน" ให้บ้านของคุณ โดยทำงานตามหลักการทางฟิสิกส์ คือ การขัดขวางการถ่ายเทความร้อนทั้งสามรูปแบบ: